บทที่
1
บทนำ
ความเป็นมาและปัญหา
ในปัจจุบัน “สื่อ” เป็นปัจจัยหลักในการชี้นำ
เปลี่ยนแปลง หรือคงไว้ซึ่งทัศนคติของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย
เรื่องในกระแส หรือทัศนคติทางการเมือง ดังนั้นจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สื่อมีส่วนทำให้สังคมแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายดังเช่นทุกวันนี้
พฤติกรรมการเสพ หรือ รับสื่อของประชาชนทั่วไป โดยทั่วไปแล้ว
ลักษณะนิสัยของมนุษย์มักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
ทำให้การรับฟังสื่อมักจะเป็นไปในลักษณะเลือกสื่อซ้ำๆ ที่เคยชิน
ไม่มีการแสวงหาสื่อใหม่ๆ ในการรับข่าวสาร พฤติกรรมของสื่อในปัจจุบัน สื่อแต่ละเจ้า
มักนำเสนอข่าวสารต่างๆโดยการไม่เสนอเฉพาะข้อเท็จจริง สื่อมักจะใส่ความคิดเห็นลงไปในข่าวด้วย
จุดนี้เป็นจุดสำคัญอย่างมากที่ทำให้สื่อ
กลายเป็นเครื่องมือชี้นำทัศนคติของผู้รับสารไปด้วย ทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคม ยกตัวอย่างเช่น
การนำเสนอข่าวเรื่องของการเมือง มักมีการนำเสนอความคิดเห็นของพิธีกรเพียงด้านเดียว
หากตัวพิธีกรมีความเอนเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อข่าวที่นำเสนอแล้ว
มักจะนำเสนอข่าวโดยแทรกความคิดเห็นเชิงชี้นำไปยังผู้รับสาร ทำให้เกิดการเลือกข้าง
หรือคล้อยตาม ส่งผลต่อความขัดแย้งทางสังคม แนวทางการแก้ปัญหาคงจะบังคับให้สื่อเสนอข่าวแต่เพียงข้อเท็จจริง
ก็คงเป็นไปไม่ได้ดังนั้น หากสื่อ นำเสนอข่าวแต่ละข่าว
โดยใช้พิธีกรที่มีจุดยืนคนละด้าน มานำเสนอข่าวเดียวกันยกตัวอย่างเช่น
หากจะนำเสนอข่าว “หลวงปู่เณรคำ” ให้พิธีกรท่านแรกใส่ความคิดเห็นในแนวลบกับพระเณรคำ
ส่วนท่านที่สอง ให้ใส่ความคิดเห็นเชิงบวก เป็นต้น
โดยขอเรียกว่าการนำเสนอข่าวโดยใช้สองทัศนคติที่ตรงกันข้าม (พีระ
จิรโสภณ,2548)
โดยตามหลักความเป็นจริงแล้ว ผู้ทำหน้าที่สื่อมวลชนนั้นควรปฏิบัติหน้าที่โดยดำรงความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด
และต้องแยกความคิดเห็นส่วนตัว ความชอบหรือไม่ชอบ อุดมคติทางการเมืองของตน
ออกจากการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชน อย่านำให้มามีอิทธิพลเหนือการทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชนที่ดีของตนเอง
แต่ปัจจุบันปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการสื่อของประเทศไทยในขณะนี้
นั่นก็คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “สื่อเลือกข้าง”
โดยเฉพาะกับคำถามของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อบางคนที่ตั้งคำถามว่า “ทำไมสื่อต้องเป็นกลาง” แถมท้ายด้วยประโยคที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบันก็คือ
“ไม่มีความเป็นกลางระหว่างความดีกับความเลว” ซึ่งคำพูดดังกล่าวก็คงเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับคนทั่วไปที่จะใช้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นบรรทัดฐาน
ในการตัดสินว่าอะไรดีหรือเลว และใครเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว
และตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่ข้างใด แต่กับสื่อมวลชนที่มีปากกาหรือสื่อเป็นอาวุธ
จะต้องมีมาตรฐานหรือความยับยั้งชั่งใจ และความรับผิดชอบที่สูงกว่านั้น และจะไม่เอามาตรฐานของตนเองไปตัดสินว่าอะไรดี
อะไรเลว ใครเป็นคนดีหรือคนเลว
แล้วใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการโฆษณาความคิดและความเชื่อของตนเองตามใจชอบไม่ได้
แต่หน้าที่ของสื่อที่แท้จริง คือต้องให้ข้อมูลกับประชาชนเพื่อให้เขาตัดสินได้ด้วยตัวเองมากกว่า
(ปรมะ
สตะเวทิน, 2546)
อย่างไรก็ตามในการทำหน้าที่
สื่อจะวิพากษ์วิจารณ์ใครหรือเหตุการณ์ใด สื่อต่อทราบและระลึกถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองก่อน
ว่าอยู่ในบทบาทไหนที่แตกต่างกันไปเช่น บทบาทในฐานะผู้รายงานข่าว (Reporter)
บทบาทนี้ชัดเจนมากว่าผู้ทำหน้าที่สื่อจะต้องรายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมา
ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ลำเอียง ไม่มีอคติ
ไม่ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไปในการรายงานข่าว
และถ้าเป็นข่าวที่มีลักษณะเป็นประเด็นโต้แย้ง (controversial issue) ต้องรายงานข้อมูลทั้งสองด้านอย่างเท่าเทียมกัน บทบาทในฐานะผู้วิจารณ์ข่าว
(Commentator) บทบาทนี้จะต้องแยกออกจากผู้รายงานข่าวอย่างชัดเจน
โดยจะไม่อยู่ในคนๆเดียวกัน (พูดง่ายๆคือจะไม่รายงานข่าวและวิจารณ์ข่าวไปด้วย)
เราจะเห็นในสื่อต่างประเทศดังๆอย่างเช่น CNN, CNBC, BBC เขาจะมีผู้รายงานข่าวหนึ่งคน
และมีผู้วิจารณ์ข่าวอีกหนึ่งคน หรืออาจเชิญคนนอกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญมาเป็น Commentator
ในเรื่องต่างๆ
แต่การวิพากษ์วิจารณ์นั้นก็ยังต้องตั้งอยู่บนเนื้อหาของข่าวที่นำเสนอ
และความเห็นที่ให้นั้นก็ควรเป็นความเห็นในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ
ไม่ใช่ความเห็นในมุมมองส่วนตัวของผู้วิจารณ์แต่เพียงผู้เดียว
บทบาทในฐานะผู้เขียนบทความประจำ (Columnist) บทบาทนี้จะเป็นบทบาทที่เปิดโอกาสให้สื่อได้แสดงความคิดเห็น
และวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ ในบทบาทนี้ผู้ที่เป็น Columnist ไม่จำเป็นจะต้องรักษาความเป็นกลางของสื่ออีกต่อไป จะแสดงจุดยืนของตนอย่างไรก็ได้
ตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมายและไม่ละเมิดศีลธรรมและจริยธรรมอันดีงามของสังคม
บทบาทในฐานะผู้เขียนการ์ตูนล้อการเมือง (Cartoonist) บทบาทนี้เป็นที่ชัดเจนว่านักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองนั้น
จำเป็นต้องมีความคิดเห็นทางการเมืองและต้องแสดงออก โดยเฉพาะมักจะต้องขัดแย้งกับนักการเมืองไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง
ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มักจะต้องเลือกข้าง
แต่ก็มีนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองสมัยก่อนที่ไม่ได้เลือกข้างใคร
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการเมืองบ้านเราในสมัยก่อนไม่ได้แบ่งแยกกันรุนแรงเหมือนการเมืองในสมัยนี้ก็เป็นไปได้
นั่นก็คือบทบาทของสื่อ
ซึ่งผู้วิจัยคิดว่าถ้าแต่ละคนรู้จักกำหนดบทบาทของตัวเองให้ถูกต้องก็จะไม่มีปัญหาในการทำหน้าที่
แต่ที่มีปัญหาอยู่ในทุกวันนี้ก็เป็นเพราะผู้ทำหน้าที่สื่อบางคนไม่รู้จักบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง
อย่างเช่น นักเล่าข่าวทางสถานีวิทยุหรือโทรทัศน์บางคนทำตัวเป็น reporter
และ commentator ไปพร้อมๆกัน
แยกบทบาทไม่ออกว่า
กำลังรายงานข่าวหรือกำลังวิจารณ์ข่าวและที่ร้ายที่สุดก็คือใส่อารมณ์ รัก ชอบ
เกลียด พอใจ ไม่พอใจ ลงไปในรายงานข่าว ในลักษณะมีอคติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
โดยขณะที่รายงานข่าวไป ก็มีการแสดงความเห็นประกอบไป แบบประชดประชัน เชิงเสียดสี
ซึ่งเป็นการละเมิดจรรยาบรรณของผู้ทำหน้าที่ผู้รายงานข่าวเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยปัญหาที่กล่าวข้างต้น
ผู้วิจัยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญบทบาทหน้าที่ความเหมาะสมในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน เพื่อวิจัยและสอบถามถึงความเหมาะสม ผลกระทบของการทำหน้าที่ในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนต่อประชาชน
ว่าตั้งอยู่ในความเหมาะสมกับฐานะการทำหน้าสื่อมวลชนอย่างถูกต้องหรือไม่ หรือทำงานโดยยึดหลักจรรยาบรรณสื่อสารมวลชนมากน้อยเพียงใด
สำหรับการสื่อข่าวและการเขียนข่าวกับภารกิจหน้าที่ของสื่อสารมวลชนในฐานะผู้แจ้งข่าวสารสู่สาธารณชน
เพราะสื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเสนอข้อมูลข่าวสารต่างๆ
อย่างอิสระ
และสามารถเข้าไปถึงกลุ่มเป้าหมายต่างๆได้ด้วยอย่างไม่มีการปิดกัน
ข้อเท็จจริงหรือความจริงในเหตุการณ์และมีความรวดเร็วในการนำพาข้อมูลข่าวสารไปสู่กลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่มีการจำกัดว่ากลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นจะเป็นใครและสามารถสื่อสารได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ทำให้ผู้รับสารที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสามารทราบถึงข้อมูลต่างได้อย่างถูกต้อง ในฐานะฐานันดรที่ 4
ของสังคม
ของสังคม
วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาระดับทัศนคติของนิสิตที่มีต่อบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน
ในการนำเสนอข่าว
สมมุติฐาน
ระดับทัศนคติของนิสิตต่อการนำเสนอข้อมูลต่างๆของสื่อมวลชนนิสิตมีความเห็นด้วยต่อการนำเสนอของสื่อมวลชน
อยู่ในระดับมาก
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้านประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ได้แก่ นิสิตมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 – 4 ในปีการศึกษา 2558
ขอบเขตด้านเนื้อหา
ศึกษาเรื่องบทบาทของสื่อมวลชนกับทัศนคติของนิสิตที่มีต่อบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน
ขอบเขตด้านเวลา
เดือนสิงหาคม – เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ขอบเขตด้านพื้นที่
พื้นที่ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ได้แก่ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
ประโยชน์ที่ได้รับ
ทราบถึงทัศนคติของนิสิตที่มีต่อบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสารต่าง
ๆ
นิยามศัพท์เฉพาะ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจความหมายของข้อความเฉพาะที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ผู้วิจัยจึงได้นิยามศัพท์เฉพาะ ดังนี้
ทัศนคติ
หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็นของประชาชนต่อการทำงานในบทบาทหน้าที่ของสื่อสารมวลชน
ข่าวสาร หมายถึง เรื่องราว เนื้อหา สาระ
หรือสารที่ถูกถ่ายทอดผ่านทางสื่อมวลชน มีลักษณะเป็นสาธารณะ
เป็นประโยชน์ต่อผู้รับสารในวงกว้าง
สื่อสารมวลชน หมายถึง บุคลากรภายในองค์กรที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องโดยตรงกับข่าวสารต่างๆ
ซึ่งเป็นกลุ่มของผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน
สื่อ หมายถึง หนังสือพิมพ์ วารสาร วิทยุ
โทรทัศน์
บทบาท หมายถึง สื่อมวลชนมีคุณสมบัติ ทักษะในการสื่อสาร
เจตคติที่ดีใน 3 ด้าน ระดับความรู้เพียงพอ ความเข้าใจในบุคคล
ระบบสังคม และวัฒนธรรม บุคลิกภาพ
การทำหน้าที่
หมายถึง การนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน
กรอบแนวคิดในการทำวิจัย
กรอบแนวคิดในการทำวิจัย
การศึกษาระดับทัศนคติของนิสิตที่มีต่อบทบาทการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลต่าง
ๆ
|
||
ปัจจัยส่วนบุคคล
-
เพศ
-
อายุ
-
คณะ
-
ชั้นปี
-
รายได้ต่อเดือน
|
บทบาทการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น