วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

9 พระราชอารมณ์ขันของในหลวง

 เรื่องที่ 1
เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง
เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง
แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" 


 เรื่องที่ 2
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงสูงมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า
"ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า
"เรายังไม่ตาย ถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก


 เรื่องที่ 3
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย
พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง
แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย แต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า
"เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก"


 เรื่องที่ 4
เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่าเมื่อกี้นี้ ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว
และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญใน การถ่ายรูป
พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูป ไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม


 เรื่องที่ 5
ที่ปักษ์ใต้ทรงมีชาวบ้านไทยมุสลิมที่สนิทสนมกันมาก และมักเสด็จไปเยี่ยมเสมอโดยมิได้บอกให้รู้ตัวล่วงหน้า
วันหนึ่งเมื่อมีพระราชประสงค์ที่ทรงอยากทราบว่า ปัญหาดินเปรี้ยวนั้นมีมากน้อยเพียงใด และบรรดาเกษตรกรนั้นพบกับความเดือดร้อนลำบากยากเข็ญเป็นไฉน
บ่ายนั้น ทรงเอ่ยถามชาวบ้านผู้หนึ่งที่อยู่กลางนาในจังหวัดนราธิวาสว่า.. "ดินที่นี่เปรี้ยวไหม."
ชายผู้นั้นยกสองมือพนมไหว้พร้อมกราบบังคมทูล ด้วยภาษาสามัญสำเนียงปักษ์ใต้ในสีหน้าท่าทางเรียบแบบงงๆ ว่า "..ในหลวงครับ ผมไม่เคยชิมเลยครับ เลยไม่รู้จริงๆ ว่าดินที่นี่เปรี้ยวหรือเปล่า.."
ทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์สำราญพร้อมผินพระพักตร์มายังดร.สุเมธ และรับสั่งว่า
"เออ จริงของเขา เราถามผิดเอง.."
จากเรื่องนี้คือที่มาของหนึ่งในโครงการพระราชดำริ 'แกล้งดิน' ที่ทรงแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวให้เปรี้ยวจัดสุดขีดแล้วผ่อนคลายด้วยหลายวิธีให้มีการปรับคุณภาพของดินให้ใช้การได้ในภายหลัง


 เรื่องที่ 6
เรื่องความละเอียดอ่อนและรอบรู้ในสรรพวิชาของในหลวงนั้น มีนานัปการ และทรงเป็นนักวิเคราะห์และสังเกตได้อย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดถึง
สมัยเมื่อหลายปีก่อนยามที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงติดตามงานใดในพระราชดำริก็มักมีการเตรียมพื้นที่ประดับต้นไม้ใบหญ้าสารพัดเพื่อให้สมพระเกียรติ
ดร.สุเมธเล่าว่า ทรงเรียกต้นไม้ดอกไม้ทั้งหลายว่า 'ต้นไม้รับเสด็จ' บ้าง หรือ ปลูกผักชีรับเสด็จบ้าง เพราะบางที่มีทั้งกระถางโผล่มาให้ทรงเห็นในแปลงเกษตรทั้งหลายก็มี
หรือในครั้งหนึ่งเมื่อรถพระที่นั่งถึงบริเวณโครงการแห่งหนึ่ง ทรงสัพยอกถามเจ้าหน้าที่ที่นั่นว่า
"...มีปลูกผักชีด้วยหรือเปล่า..."
ผู้นั้นกราบทูลหน้าตาซื่อว่า "มีพระพุทธเจ้าข้า พร้อมทำท่านำเสด็จฯไปทอดพระเนตรอย่างขึงขัง"
ทรงชี้ไปยังกลุ่มกอกล้วยน้ำว้ากอใหญ่ที่ต่างออกดอกปลีมีผลเป็นเครือสวยงาม และตรัสว่า
"นี่ก็เป็นต้นกล้วยรับเสด็จด้วย"
พร้อมนั้นมีพระราชาธิบายว่า "ธรรมชาติของกล้วยนั้นจะออกดอกผลไปในทางทิศเดียวกัน.."
แต่กล้วยที่นี่ออกลูกได้ในทุกทิศ จึงเป็นกล้วยรับเสด็จที่ทรงจับได้ในวันนั้น
นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีพระอารมณ์ขันในยามทรงงานด้วยเช่นกัน


 เรื่องที่ 7
พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน
และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้าเพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก
ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า "แขนเจ็บไปโดนอะไรมา "
ชายคนนั้นตอบว่า "ตกสะพาน"
แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า " แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ "
ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า "
แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วยตกข้างเดียว"
ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล


 เรื่องที่ 8
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า
"เอ้อ - ทรง... อ้า- ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า
"ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า
" เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ"
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษ


 เรื่องที่ 9
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอฐษ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง
ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก้อมีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์
นางสนองพระโอฐก้อ งง ...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า
พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น